2. ศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมจาก
สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ “การพัฒนาหลักสูตร :
การออกแบบหลักสูตร”
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร (Curriculum
Design) เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
โดยในที่นี้จะนำเสนอแนวคิดและรูปแบบกระบวนการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ (Tyler’s
Model Curriculum Development)
เพื่อใช้ในการอธิบายเนื่องจากเป็นรูปแบบที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด
และนำไปใช้เป็นแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรต่างๆได้เป็นอย่างดี
Ralph
Tyler ได้ให้แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรว่าหลักสูตรที่ดีจำเป็นต้องตอบคำถามพื้นฐานจำนวน
4 ข้อ คือ
1)
What is the purpose of the education? (มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจะแสวงหา)
2)
What educational experiences will attain the purposes? (มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้)
3)
How can these experiences be effectively organized? (จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ)
4)
How can we determine when the purposes are met? ( จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร จึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้)
นอกจากคำถามดังกล่าวแล้ว Tyler ยังได้เสนอหลักการในการพัฒนาหลักสูตรว่าประกอบด้วย
4 หลักการ คือ
1)
Planning (การวางแผนของหลักสูตร)
2)
Design (การออกแบบหลักสูตร)
3)
Organize (การจักการหลักสูตร)
4)
Evaluation (การประเมินหลักสูตร)
โดยเมื่อนำหลักการของไทเลอร์มาเทียบเคียงกับคำถามที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน
จะพบว่ามีความสอดคล้องกันดังนี้
คำถามปัจจัยพื้นฐาน
|
หลักการพัฒนาหลักสูตร
|
1. What
is the purpose of the education? (จะสอนอะไร)
|
1. Planning (การวางแผนหลักสูตร)
|
2. What
educational experiences will attain the purposes? (จะเอาอะไรมาสอน)
|
2. Design
(การออกแบบหลักสูตร)
|
3. How
can these experiences be effectively organized? (จะสอนอย่างไร)
|
3. Organize (การวางแผนการใช้หลักสูตร)
|
4. How
can we determine when the purposes are met?(จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้)
|
4. Evaluation (การประเมินหลักสูตร)
|
Tyler’s Model Curriculum Development
โมเดลการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์นี้ ได้ดัดแปลงมาจากโมเดลของ Ornstein
and Hunskin (1998)โดยได้นำคำถามที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการทำหลักสูตรของไทเลอร์
(สัญลักษณ์ Q)
มากำกับในขั้นตอนต่างๆของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตามหลักการของไทเลอร์ ดังนี้
กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์สามารถกำหนดได้เป็น 2 ช่วงหลัก คือ
ช่วงที่ 1 ยังไม่มีหลักสูตร และ ช่วงที่ 2 มีหลักสูตรเกิดขึ้นมาแล้ว
โดยมีรายละเอียดดังนี้ ในช่วงที่ยังไม่มีหลักสูตร จะเริ่มต้นจาก Tentative
Objectives(กำหนดวัตถุประสงค์ชั่วคราว) จะเป็นการตอบคำถามข้อที่ 1
คือ จะเอาอะไรมาสอน โดยข้อมูลที่จะเป็นนั้นจะได้จากแหล่งข้อมูล (Source) ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลด้านผู้เรียน (Learner)
ข้อมูลจากผู้รู้ (Subject Matter) และข้อมูลพื้นฐานทางสังคม
(Social) จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรอง
(Screens) โดยมีพื้นฐานที่สำคัญคือ พื้นฐานทางด้านปรัชญา (Philosophy) พื้นฐานทางจิตวิทยา (Psychology)
และพื้นฐานทางสังคม (Social)
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการกลั่นกรองนี้แล้วจะได้หลักสูตรเกิดขึ้นมา
ที่มีวัตถุประสงค์ที่ถาวร (Tentative Objectives)
ซึ่งได้มาจากการออกแบบ (Design)
ที่มีแนวคิดในการออกแบบดังที่กล่าวในตอนต้น โดยในขั้นนี้จะเป็นการตอบคำถามข้อที่ 2
ว่าเราจะสอนอะไรให้กับผู้เรียนบ้าง
ถัดจากขั้นตอนของการออกแบบจึงเข้าสู่ช่วงการวางแผนการใช้หลักสูตร (Organize) เป็นการตอบคำถามข้อที่ 3 ว่าจะจัดการสอนให้กับผู้เรียนอย่างไร (Selected
Experiences)
โดยครูผู้สอนเป็นผู้มีบทบาทหน้าที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร
และจากนั้นจึงเข้าสู่รูปแบบของการประเมิน (Evaluation)
เป็นการตอบคำถามข้อที่ 4 ว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่
โดยในการประเมินนี้จะแบ่งการประเมินออกเป็น 2 ส่วน คือ การประเมินหลักสูตร
และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
การออกแบบหลักสูตร (Curriculum
Design)
คำสำคัญ
(Key words)
· หลัก
7 ประการในการออกแบบหลักสูตร (7 principles in curriculum design)
· ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 (3Rs+7Cs)
· สี่เสาหลักทางการศึกษา (Four
Pillars)
· World
Class Education
“ทุกสิ่งโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โลกเปลี่ยนจึงทำให้สังคมเปลี่ยน
สังคมเปลี่ยนทักษะที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์จึงต้องเปลี่ยน
เมื่อทักษะเปลี่ยนมนุษย์จึงต้องเปลี่ยน เมื่อมนุษย์เปลี่ยนการเรียนรู้ของมนุษย์จึงเปลี่ยนตาม
และเมื่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การเรียน การสอน
จึงต้องเปลี่ยนตาม”
จากคำกล่าวข้างต้นนี้สามารถเป็นคำตอบได้ดีสำหรับคำถามที่ว่า
“เพราะเหตุใดจึงต้องมีการออกแบบหลักสูตร” ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งบนโลกล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน
หรือในอนาคตนั้น ครูผู้สอนจะต้องไม่เน้นการสอน แต่ต้องเน้นออกแบบการจัดการเรียนรู้
เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ เน้นเป็นโค้ชไม่ใช่ผู้สอน
ครูต้องเรียนรู้ทักษะและทฤษฎีว่าด้วยการเป็นครูอย่างต่อเนื่อง เช่น
ทักษะการวินิจฉัย ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจศิษย์ ทักษะการออกแบบการเรียนรู้
ทักษะการเรียนรู้ และสร้างความรู้ใหม่
จึงเป็นที่มาว่าทำไมหลักสูตรจึงต้องมีการออกแบบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
จากการศึกษาในรายวิชาการพัฒนาหลักสูตรพบว่าในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร(Curriculum Design)
เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาที่มีความสำคัญโดยจากการศึกษารูปแบบโมเดลการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
(Tyler’s Model of Curriculum Development)
ทำให้ได้ทราบถึงขั้นตอนต่างๆในการจัดทำหลักสูตร
โดยหนึ่งในนั้นมีขั้นตอนในการออกแบบหลักสูตรรวมอยู่ด้วย
เบื้องต้นในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงแนวคิดสำคัญที่ใช้เป็นหลักยึดในการออกแบบหลักสูตร
ตลอดจนอธิบายถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตรด้วยรูปแบบโมเดลของไทเลอร์ (Tyler’s
Model Curriculum Development)
หลักการสำคัญในการออกแบบหลับสูตร
การออกแบบหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องมีหลักการต่างๆขึ้นมาเพื่อรองรับ
เพื่อให้หลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ เหมาะกับการนำไปใช้
และเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สำหรับหลักการสำคัญสิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือ
ความเป็น World Class Education เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเป็นไปอย่างสากล
และยังมีหลักการที่ใช้เป็นหลักยึดในการออกแบบหลักสูตรนั้นอื่นๆอีก ได้แก่
1.
หลัก 7 ประการในการออกแบบหลักสูตร (7
principles of curriculum design)
เป็นหลักคิดเพื่อการสร้างหลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพ
โดยได้กล่าวว่าการออกแบบการจัดการเรียนรู้หรือหลักสูตรนั้นต้องประกอบด้วยพื้นฐาน 7 ประการ คือ
· Challenge and enjoyment (ค้นหาศักยภาพและความสุข) คือ
หลักสูตรต้องได้รับการออกแบบให้นักเรียนได้ค้นหาศักยภาพและกระตุ้นนักเรียนให้มีความสนใจในการเรียนรู้
· Breadths (ความกว้าง)
คือ หลักสูตรที่ดีต้องเปิดกว้างในการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้มีได้หลากหลายแนวทาง
· Progressions (ความก้าวหน้า) คือ
หลักสูตรต้องออกแบบมาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปสู้ความก้าวหน้าที่ผู้เรียนตั้งเป้าไว้
· Depths (ความลึกซึ้ง)
คือ หลักสูตรต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้อย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญคือ
หลักสูตรต้องให้โอกาสนักเรียนได้ใช้
· Coherence (ความเกี่ยวข้อง)
คือ หลักสูตรที่ดีต้องมีเนื้อหาและจุดประสงค์ที่สนองกับบริบทที่จะนำหลักสูตรไปใช้
· Relevance (ความสัมพันธ์กัน)
คือ เนื้อหาในหลักสูตรต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับจุดประสงค์
· Personalization and choice (ความเป็นเอกลักษณ์และตัวเลือก) คือ
หลักสูตรที่ดีต้องให้นักเรียนได้ค้นพบเอกลักษณ์ของตนเองและมีทางเลือกในการแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเอง
2.
ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (3Rs+7Cs)
ศ. น.พ.วิจารณ์ พานิชได้กล่าวถึงการศึกษาในศตวรรษที่
21 ว่า การศึกษาต้องเตรียมคนออกไปเป็นknowledge worker และเป็น learning
person ไม่ว่าจะประกอบสัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21
ต้องเป็นlearning person และเป็น knowledge
worker แม้แต่ชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็น learning
person และเป็นknowledge worker ดังนั้นทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษที่
21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning skills)
ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย และตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ทักษะดังกล่าวจึงเป็นที่สำคัญที่ผู้เรียนพึ่งมีในศตวรรษที่21 ซึ่งหลักสูตรต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีทักษะที่สำคัญและสามารถใช้ชีวิตในสังคมศตวรรษที่21ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยก่อนหน้านี้การศึกษาของเรายึดหลัก 3Rs คือ
เน้นการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน อ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น
และต่อมาจึงได้เพิ่มเติมรวมหลัก 7Cs ที่จำเป็นในศตวรรษที่
21 เข้าด้วยกัน จึงกลายเป็นหลัก 3Rs+7Cs ดังนี้
3Rs
· Reading (อ่านออก)
· Writing (เขียนได้)
· Arithmetic (คิดเลขเป็น)
7Cs
· Critical Thinking & Problem
solving คือ ทักษะในการคิดวิเคราะห์
และการคิดแก้ปัญหา
· Creativity & Innovation คือ ทักษะที่เมื่อคุณคิดวิเคราะห์แล้ว คุณต้องสร้างสรรค์ได้
หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ได้
· Cross-Cultural understanding คือ ทักษะที่เน้นความเข้าใจในกลุ่มคนในหลากหลายชาติพันธ์
เพราะเราเป็นสังคมโลก
· Collaboration Teamwork &
leadership คือ ทักษะการทำงานเป็นทีม
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความเป็นผู้นำ
· Communication information and media
literacy คือ ความสามารถในการสื่อสาร
ความสามารถในการรู้จักข้อมูล ความสามารถในการเข้าใจสื่อ
· ICT literacy คือ ความสามารถในยุคของ Digital age ความสามารถในการใช้เครื่องเทคโนโลยี
· Career and Life skill คือ ทักษะการใช้ชีวิต คือทักษะการประกอบอาชีพ
หรืออาจหมายถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคมของเรา
ดังที่ได้กล่าวมาเมื่อนำกหลัก 7Cs มาจัดกลุ่ม สามารถแบ่งออกได้ 3 ส่วน คือ
· การพัฒนาด้านความคิด ได้แก่ Critical Thinking,
Creativity, Collaboration, และ Cross-Culture
· ความสามารถความเข้าใจ
(Literacy) ได้แก่ Information,
Communication, Media, และ ICT
· ทักษะการใช้ชีวิต (Life
Skill) ได้แก่ การมองโลกหรือคนอื่นรอบๆ
เป็นศูนย์กลางไม่ใช่มองตนเองเป็นศูนย์กลาง
3.
สี่เสาหลักของการศึกษา (The four Pillars of
Education)
พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้คำอธิบายไว้ว่าหมายถึง หลักสำคัญ ๔
ประการของการศึกษาตลอดชีวิต ตามคำอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่
๒๑ ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง Learning : The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อ ค.ศ. ๑๙๙๕ ว่าการศึกษาตลอดชีวิตมีหลักสำคัญ
๔ ประการ ได้แก่
1.
การเรียนเพื่อรู้ (Learning to Know) การเรียนที่ผสมผสานความรู้ทั่วไปกับความรู้ใหม่ในเรื่องต่าง
ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง และยังหมายรวมถึงการฝึกฝนวิธีเรียนรู้
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต
2.
การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to Do) การเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง
ๆ และปฏิบัติงานได้ เป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ต่าง ๆ
ทางสังคมและในการประกอบอาชีพ
3.
การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) การเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่า
มนุษย์เราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ
โดยตระหนักในความแตกต่างหลากหลาย ความเข้าใจอันดีต่อกันและสันติภาพ
ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าคู่ควรแก่การหวงแหน
4. การเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning
to Be) การเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนได้ดีขึ้น
ดำเนินงานต่าง ๆ โดยอิสระยิ่งขึ้น มีดุลพินิจ และความรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้น
การจัดการศึกษาต้องไม่ละเลยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งของบุคคล เช่น ความจำ
การใช้เหตุผล ความซาบซึ้งในสุนทรียภาพ สมรรถนะทางร่างกาย ทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น